STD - โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์
โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คือ การติดเชื้อที่ส่งผ่านจากบุคคลหนึ่งสู่อีกบุคคลหนึ่งผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์ สาเหตุของโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นั้นเกิดได้จากทั้งแบคทีเรีย ปรสิต ยีสต์และไวรัส โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์นี้มีมากกว่า 20 ชนิด เช่น การติดเชื้อคลาไมเดียหรือโรคหนองในเทียม เริมที่อวัยวะเพศ หนองในแท้ การติดเชื้อ HIV ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือที่เรียกว่าโรคเอดส์ การติดเชื้อ HPV การติดเชื้อซิฟิลิส และโรคพยาธิในช่องคลอด โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ส่งผลกระทบทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่โดยส่วนใหญ่มักพบว่ากลุ่มโรคนี้ส่งผลกระทบต่อสุขภาพที่รุนแรงมากกว่าในเพศหญิง เช่น ถ้าสตรีตั้งครรภ์ตรวจพบว่ามีการติดเชื้อในกลุ่มโรคนี้ขณะตั้งครรภ์ จะก่อให้เกิดปัญหาร้ายแรงต่อสุขภาพของทารก การรักษาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถใช้ยาต้านจุลชีพหรือยาฆ่าเชื้อเพื่อรักษาอาการให้หายได้ ในกรณีที่เป็นการติดเชื้อจากแบคทีเรีย ยีสต์หรือปรสิตเท่านั้น แต่สำหรับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสนั้น ยังไม่มีวิธีการรักษาให้หายขาดได้ แต่การรักษาด้วยการทานยาจะช่วยลดอาการของโรคและช่วยควบคุมโรคให้อยู่ในระยะสงบได้.
ชุดตรวจโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์
- ตรวจหาโรคเอดส์ (Anti-HIV)
- ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี(HBsAg)
- ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี(HCV Ab)
- ตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส (VDRL)
- ตรวจหาเช้ ือหนองในแท้ (GC stain)
- ตรวจปัสสาวะ : Urine exam
1350 บาท
หนองในเทียม
หนองในเทียม
หนองในเทียมเป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่มักเจอบ่อยครั้ง ได้รับเชื้อจากการมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนที่ติดเชื้อ
ในแต่ละปีจะมีชาวอเมริกันได้รับเชื้อนี้ประมาณ 3 ล้านคน โดยส่วนมากจะพบในช่วงอายุ 14-24 ปี
หนองในเทียมเชื้อสามารถแพร่ติดต่อได้หลายทาง ทางอวัยวะเพศ ทางทวารหนัก ทางปาก การติดเชื้อจะดำเนินจากน้ำอสุจิ (น้ำเชื้อ) ก่อนและหลังหลั่งของเหลวในช่องคลอด นอกจากนี้หนองในเทียมสามารถแพร่เชื้อไปยังองคชาต ช่องคลอด ปากมดลูก ทวารหนัก ท่อปัสสาวะ ตา และลำคอได้
โดยส่วนใหญ่แล้วผู้ติดเชื้อจะไม่มีอาการใดๆ บางครั้งผู้ติดเชื้อจึงไม่ทราบว่าตนเองได้รับเชื้อมา การรักษาหนองในเทียมสามารถรักษาได้โดยการรับประทานยาปฏิชีวนะเพื่อช่วยรักษาหรือป้องกันการติดเชื้อและแพร่กระจายของแบคทีเรีย หากปล่อยไว้หรือไม่ได้รับการรักษาที่ทันท่วงทีอาจเกิดปัญหาสุขภาพในอนาคตได้ เพราะฉนั้นการตรวจเลือดเพื่อหาโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญ ยิ่งท่านรู้ว่าได้รับเชื้อหนองในเทียมไวเท่าไรก็จะได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
หนองในเทียมติดต่อได้จากการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันกับผู้ที่มีเชื้อ สามารถติดได้แม้จะไม่มีสารคัดหลั่งเกิดขึ้น
ส่วนใหญ่แล้วหนองในเทียมเกิดจากการติดต่อทางเพศสัมพันธ์ทางช่องคลอด, ทวารหนัก และยังสามารถติดเชื้อในช่องปากได้เช่นกัน เช่น การใช้ปากกับอวัยวะเพศ บางรายหากมือไปสัมผัสกับเชื้อหนองในเทียมแล้วมาขยี้ตาก็อาจทำให้เกิดหนองในเทียมบริเวณดวงตาได้ด้วย นอกจากนี้หนองในเทียมยังสามารถติดต่อจากแม่สู่ลูกในขณะตั้งครรภ์
ทั้งนี้โรคดังกล่าวจะไม่มีติดต่อผ่านการทานอาหารร่วมกัน การกอด จูบ การไอ จาม หรือการใช้ห้องน้ำ ห้องส้วมร่วมกัน
การติดเชื้อซิฟิลิส
การติดเชื้อซิฟิลิสระยะเริ่มต้นจะมีแผลเล็กๆ ไม่มีอาการปวด บางครั้งก็มีอาการต่อมน้ำเหลืองโต หากไม่ได้รับการรักษาก็จะเกิดอาการในขั้นต่อไปคือ มีผื่นขึ้นพบบริเวณฝ่ามือ และฝ่าเท้า โดยจะไม่มีอาการคันในบริเวณผื่น หลายคนไม่สังเกตเห็นอาการ ผื่นอาจจะหายได้เองจะเกิดเป็นซ้ำอีก
แผลจากการติดเชื้อซิฟิลิสก่อให้ความเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสเอชไอวี (HIV) ระหว่างมีเพศสัมพันธ์ นอกจากนี้เชื้อซิฟิลิสสามารถแพร่จากมารดาสู่ทารกในครรภ์ อาจร้ายแรงถึงขั้นทารกเสียชีวิต หากเกิดการติดเชื้อและไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง อาจส่งผลต่อปัญหาสุขภาพและอาจเป็นอันตรายต่อชีวิตได้
การตรวจทางห้องปฏิบัติการสามารถบ่งบอกได้ว่าท่านติดเชื้อหรือไม่ สามารถติดต่อสอบถามได้
ในผู้ป่วยที่ตรวจพบโรคซิฟิลิสและได้รับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ นั้นสามารถรักษาให้หายได้ด้วยยาปฏิชีวนะ
HPV – เชื้อเอชพีวี
เชื้อเอชพีวีที่ติดต่อทางเพศสัมพันธ์สามารถแบ่งได้ 2 ประเภท
HPV ชนิดเสี่ยงต่ำ: ไม่ได้ทําาให้เกิดมะเร็งปากมดลูก แต่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ
HPV ชนิดเสี่ยงสูง: ทําให้เกิดโรคมะเร็งได้หลายชนิด มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด มะเร็งทวารหนัก มะเร็งช่องปากและลำคอบางชนิด มะเร็งองคชาต
การติดเชื้อเอชพีวี เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบบ่อยที่สุดในสหรัฐอเมริกา ใครก็ตามที่เคยมีเพศสัมพันธ์สามารถติดเชื้อเอชพีวีได้ ผู้หญิงแทบทุกคนมีความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งปากมดลูก โดยเฉพาะผู้หญิงที่มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อย และผู้หญิงที่มีคู่นอนหลายคน บางคนยังสามารถติดเชื้อเอชพีวีได้ตั้งแต่ครั้งแรกที่มีเพศสัมพันธ์
การติดเชื้อ HIV ที่ทำให้เกิดภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง/โรคเอดส์
HIV ย่อมาจาก Human Immunodeficiency Virus เป็นเชื้อไวรัสที่ทำลายระบบภูมิคุ้มกันของคน ทำให้ร่างกายอ่อนแอลงและทำลายระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยการทำลายเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ต่อสู้กับการติดเชื้อ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อร้ายแรงและมะเร็งบางชนิด
ADIS หรือโรคเอดส์ย่อมากจาก Acquired Immunodeficiency Syndrome) คือระยะท้ายของการติดเชื้อ HIV ที่มีภูมิคุ้มกันต่ำ ซึ่งเอชไอวี และโรคเอดส์ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน ผู้ติดเชื้อเอชไอวีไม่จำเป็นต้องป่วยเป็นโรคเอดส์เสมอไป
เชื้อเอชไอวีจะติดต่อผ่านการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ป้องกันมากที่สุด การใช้เข็มฉีดยาร่วมกับผู้อื่นหรือการสัมผัสเลือดของผู้ติดเชื้อผ่านเข้าสู่บาดแผล รวมทั้งยังสามารถติดต่อผ่านแม่สู่ลูกในระหว่างตั้งครรภ์ คลอด หรือให้นมบุตรได้
ระยะแรกเริ่มของการติดเชื้อ HIV ผู้ติดเชื้อจะมีอาการต่อมน้ำเหลืองบวมและมีอาการคล้ายไข้ อาการเหล่านี้มักจะเป็นอยู่ประมาณ 2-4 สัปดาห์ ไม่ปรากฏอาการรุนแรงจนถึงหลายเดือนหรือหลายปี
ทั้งนี้ อาการของผู้ติดเชื้อ HIV และผู้ป่วยเอดส์อาจมีอาการที่คล้ายคลึงกับโรคอื่นได้ ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดที่จะรู้ว่าติดเชื้อ HIV หรือไม่ คือการตรวจเลือดหาการติดเชื้อ HIV สามารถติดต่อสอบถามได้ที่เรา
ทั้งนี้ยังไม่มีการรักษาให้หายขาด การรักษาด้วยยาต้านไวรัสเป็นการกินยาสม่ำเสมอต่อเนื่องทุกวัน เพื่อให้ภูมิคุ้มกันในร่างกายฟื้นตัวกลับมาเป็นปกติ และ การที่กินยาต้านไวรัสจนเชื้อในร่างกายเหลือน้อยมาก จะช่วยลดการถ่ายทอดเชื้อไปสู่คนอื่นอีกด้วย และการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆจะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถอยู่ได้นานขึ้น
หนองในแท้
การติดเชื้อหนองในแท้จะไม่แสดงอาการที่ชัดเจน อาการหนองในในผู้ชายจะมีลักษณะหนองขุ่นข้นๆ สีเหลืองหรือสีขาวไหลออกมาจากท่อปัสสาวะ รู้สึกแสบขัดเวลาปัสสาวะ หากไม่ได้รับการรักษาหรือปล่อยไว้นาน เชื้ออาจลุกลามสู่ต่อมลูกหมากและอัณฑะได้
ในผู้หญิง อาการเริ่มต้นของโรคหนองในมักไม่รุนแรง ต่อมาจะมีอาการ ช่องคลอดอักเสบ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ปัสสาวะแสบขัด เจ็บบริเวณอุ้งเชิงกราน โดยเฉพาะขณะมีเพศสัมพันธ์ หากปล่อยไว้นานไม่รีบรักษา เชื้ออาจลุกลามไปสู่มดลูกและท่อรังไข่ เสี่ยงเป็นโรคกระดูกเชิงกรานอักเสบ ทำให้เกิดปัญหาการตั้งครรภ์และภาวะมีบุตรยาก
หนองในแท้สามารถวินิจฉัยด้วยการทดสอบในห้องปฏิบัติการได้ สามารถสอบถามหรือติดต่อเรา
การรักษาโรคหนองในแท้สามารถทำได้ด้วยการให้ยาปฏิชีวนะ อย่างไรก็ตามการรักษาโรคหนองในกลายเป็นเรื่องยากขึ้น เนื่องจากมีการตรวจพบเชื้อหนองในดื้อยาระดับที่ไม่สามารถรักษาได้.
เริมที่อวัยวะเพศ
เริมที่อวัยวะเพศ (Genital Herpes) จัดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ คืออาการติดเชื้อไวรัสเฮอร์พีส์ ซิมเพล็กซ์ (Herpes Simplex Virus: HSV) บริเวณอวัยวะเพศ ส่งผลให้มีอาการเจ็บ คัน เกิดบาดแผลหรือตุ่มพองบริเวณอวัยวะเพศ และอาจมีอาการเจ็บขณะปัสสาวะร่วมด้วย
ผู้ป่วยมักจะได้รับเชื้อผ่านทางการมีเพศสัมพันธ์กับผู้ติดเชื้อทางช่องคลอด ทวารหนัก หรือปากเชื้อไวรัสอาจสามารถแพร่ได้ถึงแม้ว่าไม่มีแผล และยังสามารถแพร่จากแม่ไปสู่ทารกในครรภ์ขณะคลอด
อาการของโรคเริม ผู้ป่วยมักจะเป็นแผลใกล้บริเวณที่ไวรัสเข้าสู่ร่างกาย ลักษณะแผลเป็นพุพอง แตก มีอาการเจ็บปวดแล้วหาย บางครั้งคนไม่รู้ว่าตนเองเป็นโรคเริมเพราะไม่มีอาการหรืออาการไม่รุนแรงมากนัก เชื้อไวรัสอาจรุนแรงมากขึ้นในทารกแรกเกิดหรือในผู้ที่มีระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ
อาการของโรคเริมเมื่อหายแล้ว สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ เพราะเมื่อเราได้รับเชื้อไวรัสแล้ว เชื้อจะอยู่ในร่างกายของเราไปตลอดชีวิต หากไม่ทำการรักษาที่ถูกต้อง อาการที่เกิดขึ้นซ้ำจะไม่รุนแรงเท่าครั้งแรก
การตรวจเพื่อวินิจฉัยมีหลายวิธี หากมีข้อสงสัยหรือกังวลสามารถสอบได้ที่เรา
ในปัจจุบันยังไม่ยาหรือวัคซีนในการรักษาโรคติดต่อนี้ให้หายขาดได้ ทำได้เพียงบรรเทาและลดการแพร่เชื้อของแผลและอาการให้หายเร็วขึ้นเท่านั้น
มักจะไม่แสดงอาการในเพศชาย หรือถ้ามีจะแสดงอาการดังนี้ มีน้ำหล่อลื่นออกจากอวัยวะเพศหลังปัสสาวะ หรือมีน้ำอสุจิพุ่งออกมา แสบร้อนหลังจากปัสสาวะหรือหลั่งน้ำอสุจิ
การตรวจจากห้องปฏิบัติการทางการแพทย์สามารถบ่งบอกได้ว่าท่านติดเชื้อหรือไม่ ท่านสามารถติดต่อเพื่อสอบถามเรา
การติดเชื้อสามารถรักษาได้ด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ แนะนำให้ผู้ที่สงสัยว่าติดเชื้อทริโคโมแนสและคู่นอนทำการตรวจและรักษา เพื่อช่วยป้องกันการติดเชื้อซ้ำหรือการแพร่กระจายเชื้อไปสู่ผู้อื่น
ชุดตรวจโรคติดต่อ ทางเพศสัมพันธ์
- ตรวจหาโรคเอดส์ (Anti-HIV)
- ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบบี(HBsAg)
- ตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบซี(HCV Ab)
- ตรวจคัดกรองโรคซิฟิลิส (VDRL)
- ตรวจหาเช้ ือหนองในแท้ (GC stain)
- ตรวจปัสสาวะ : Urine exam